Day Trader: A Unique Blueprint สำหรับเทรดเดอร์อิสระธรรมดา ที่ต้องการทำกำไรแบบไม่ธรรมดา Part 10

10. ความลับในการเอาตัวรอดและสร้างผลกำไรที่ยั่งยืนในฐานะเทรดเดอร์

นังสือที่เกี่ยวกับการเทรดทั้งหลายส่วนใหญ่นั้นเต็มไปด้วยไอเดียที่เพอร์เฟ็คเกี่ยวกับเรื่อง setup ซึ่งมันทำให้ดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายในการใช้ชีวิตในฐานะเทรดเดอร์ซะจริง ๆ แต่ผม ต้องการที่จะแสดงภาพแห่งความเป็นจริงให้คุณเห็น

ซึ่งไม่ได้หมายความว่าผมต้องการที่จะบั่นทอนกำลังใจคุณแต่อย่างใดนะครับ เพราะถ้าจะมีใครสักคนที่เชื่ออย่างเต็มเปี่ยมในเรื่องการสร้างรายได้มหาศาลจากการเทรด ก็ตัวผมเองนี่แหล่ะ แต่ผมต้องการที่ทำให้คุณเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าคุณจะต้องทุ่มเทลงไปเท่าไหร่ และอย่าคาดหวังว่ามันจะง่ายอย่างที่สถาบันต่าง ๆ เค้าบอกคุณ

ผมจะวาดภาพให้คุณเห็นว่าสถานการณ์ใดที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไปติดกับ และสิ่งนั้นก็เกิดกับตัวผมเองเช่นกันในอดีต ซึ่งผมต้องพยายามผ่านมันไปครั้งแล้วครั้งเล่ากี่ครั้งเท่าไหร่ผมก็จำไม่ได้แล้วและไม่แคร์อีกแล้ว

คุณเริ่มต้นเทรดในกลยุทธ์ที่คุณเพิ่งได้ร่ำเรียนมาอย่างมุ่งมั่น คุณเข้าสู่ตลาดด้วยความระมัดระวัง เฝ้าดูว่า setup ที่คุณได้เรียนมานั้นมันเวิร์คจริง ๆ หรือเปล่า 2 - 3 วันหลังจากที่ได้สังเกตุมาแล้วก็พบว่ามันเวิร์คจริง ๆ ด้วย คุณเริ่มคิดถึงเงินจำนวนมากที่คุณจะได้จากตลาด ถึงเวลาที่คุณจะเริ่มเทรดจริงแล้ว รู้สึกฮึกเหิมซะนี่กระไร คุณเริ่มทำตามที่คิดไว้หลังจากนั้น 2 - 3 วันคุณทำได้ดีจริง ๆ

"โอ้ พระเจ้าในที่สุดฉันก็ทำได้ ในที่สุดฉันก็เจอกลยุทธ์ที่สามารถทำกำไรจากตลาดได้อย่างยั่งยืน"

คุณพูดกับตัวเอง คุณแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้เทรดอีกในวันรุ่งขึ้น แต่! หลังจากนั้นคุณเสีย 2 - 3 ครั้ง ซึ่งคุณคิดว่า "It's ok" "การเสียมันเป็นเรื่องปกติอย่างที่คิดเอาไว้ก่อนอยู่แล้ว" คุณเทรดต่อไปอีก 2 - 3 วันแต่คราวนี้ดูเหมือนสิ่งที่เคยได้ผลกลับไม่ได้ผลอีกแล้ว เสียแล้วก็เสียแล้วก็เสีย คุณถอยหลังกรูดเลิกเทรดจริงชั่วคราว คิดในใจ

"เฮ้ย! มันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย"

คุณจึงคิดว่าคุณต้องใส่ใจมากขึ้นและเลือกอย่างระมัดระวัง ช่วงนี้คุณตัดสินใจเทรดเงินกระดาษไปก่อน แต่พอคุณเริ่มทำแบบนั้น ปราฏว่าคุณก็พลาด big trade ณ ตอนนี้คุณยังคงรู้สึกไม่ดีกับคราวที่คุณเสียก่อนหน้านี้อยู่ คุณเฝ้าดูและ paper trade ต่อด้วยความระมัดระวัง แต่สิ่งที่พบคือมีเทรดที่ดี ๆ หลายเทรดผ่านไปโดยทิ้งคุณไว้เบื้องหลัง คุณจึงเริ่มรู้สึกดีขึ้นและได้ความมั่นใจในกลยุทธ์ของคุณกลับคืนมา

"มันเวิร์คจริง ๆ นั่นแหล่ะ"

คุณไม่มีทางล้างพอร์ตแน่นอน คุณกระโจนเข้าตลาดอีกรอบด้วยความฮึกเหิมด้วยเงินจริงเช่นเคย แต่! มันไม่เวิร์คอีกแล้ว คุณสาปส่งตลาดอย่างสาดเสียเทเสีย

"สิ่งนี้มันอยู่ตรงข้ามกับฉันตลอดเลย" คุณคิดในใจ "ไม่มีใครสามารถทำเงินจากตลาดได้จริง ๆ หรอก มันก็เป็นแค่การพูดโกหกคำโต"

โชคไม่ดีที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยเกินไป ที่มันเกิดขึ้นก็เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่คุณได้รับการบอกกล่าวมามันแตกต่างจากความเป็นจริงไปเยอะมาก คุณเห็นมั๊ย สิ่งที่คุณต้องระมัดระวังจริง ๆ เมื่อคุณเริ่มต้นเทรดแบบมืออาชีพ (หรืออย่างน้อยก็เทรดเป็นประจำ) ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า วงจรแห่งโอกาส (opportunity cycle) หมายความว่า สิ่งที่คุณเคยได้ยินหรือสิ่งที่คุณเคยวาดภาพไว้ตามคำบอกของกูรูและหนังสือที่ขายดีทั้งหลายมันต่างจากความเป็นจริงอย่างมาก

ตลาดนั้นมีวงจรที่บางครั้งก็เข้ากันได้กับกลยุทธ์ที่คุณใช้ บางครั้งก็ใช้ไม่ได้ สลับกันไปแบบนี้ คุณอาจจะเป็น trend trader (เทรดตามเทรนด์) หลังจากตลาดเงียบและ side way อยู่เป็นอาทิตย์มันก็ฟอร์ม break out แต่ปรากฏว่ากลายเป็น failed breakout หรือคุณอาจจะเป็นเทรดเดอร์ที่ชอบ fading เมื่อตลาด side way คุณ sell ที่ด้านบนของขอบ range และ buy ที่ด้านล่างของขอบ range แต่อยู่ดี ๆ ตลาดก็ break out ตรงข้ามกับคุณ ความมั่นใจในกลยุทธ์ที่คุณใช้มันไม่เหลืออีกแล้ว

ตรงนี้แหล่ะที่เทรดเดอร์นั้นติดกับและเป็นจุดที่การเทรดเพื่อเป็นงานประจำนั้นเป็นเรื่องที่ท้าทาย การไม่ตระหนักถึงธรรมชาติของวงจรตลาดและไม่สังเกตุเห็นวงจรแห่งโอกาส พวกเค้าคิดว่ากลยุทธ์ของพวกเค้านั้นใช้ไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงคือกลยุทธ์ที่เค้าเหล่านั้นใชัมันไม่ sync กับตลาดตอนนั้น แต่พอมัน sync กับตลาดในอีกช่วงเวลานึง พวกเค้าก็ไม่เชื่อในกลยุทธ์นั้นแล้ว สุดท้ายพวกเค้าก็พลาดโอกาสเทรดดี ๆ ไปเป็นจำนวนมาก จนถึงจุดหนึ่งที่ทนดูอยู่ไม่ไหว พวกเค้าก็กระโจนเข้าตลาดอีกรอบ แต่มันก็สายไปอีกแล้วเพราะวงจรตลาดมันนั้นกลับไปสู่จุดที่ไม่ sync กับกลยุทธ์ของพวกเค้าอีกแล้ว กลายเป็นวงจรอุบาทว์

ถึงตอนนี้เรื่องท้าทายก็คือวงจรตลาดนั้นมันไม่มีรอบแบบตายตัว บางครั้งวงจรมันก็ไม่เกิดขึ้นเป็นเวลา 2 - 3 วัน แต่บางครั้งก็อาจจะกินเวลาเป็นเดือน คุณไม่สามารถกำหนดเวลาที่แน่นอนได้ว่ามันจะเริ่มกลับมา sync กับกลยุทธ์ของคุณเมื่อไหร่ แต่! คุณสามารถเรียนรู้ที่จะสังเกตุเห็นมันได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น และนี่คือกุญแจสำคัญที่จะอยู่รอดบนธุรกิจนี้




สิ่งที่คุณจำเป็นต้องเรียนรู้ก็คือ การอ่านพฤติกรรมและบุคลิคของตลาด คุณต้องสร้างความสามารถในการเข้าใจถึงเรื่อง contextual (สภาพแวดล้อม) ของตลาดว่าขณะนั้นตลาดอยู่ในสถานการณ์ใด เพื่อที่จะประเมินได้ว่าคุณกำลังอยู่ในภาวะใดของตลาดตอนนั้น และนำไปสู่สถานการณ์ใดที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และนี่คือสิ่งที่ผมได้ย้ำไปแล้วก่อนหน้าว่า คุณไม่สามารถใช้ setup หรือสัญญาณจาก indicator ใด ๆ มาใช้ได้แบบตรงไปตรงมา มันเป็นสิ่งไร้ค่าถ้าคุณไม่เข้าใจว่าสถานการณ์ของตลาดในขณะนั้น setup ประเภทไหนที่ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ตลาดเงียบ volume น้อย break out setup ที่คุณใช้มันจะมีโอกาสสูงที่จะ fail เพราะตลาดจะไม่มีความมั่นใจที่จะก่อให้เกิดการเคลื่อนที่ของราคาไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างเป็นรูปธรรม (directional conviction) มันจะไม่สามารถ break out ได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์ที่ตลาดมีการเพิ่มขึ้นของ volatility อย่างเห็นได้ชัด และอยู่ในช่วงที่ตลาดมีเหตุการณ์สำคัญ เช่น ประกาศผลประกอบการณ์ หรืออยู่ในช่วงที่มีข่าวสำคัญกำลังจะออก การ fading หรือการเทรดตรงข้ามเทรนด์ตลาด จะก่อให้เกิดผลเสียอย่างร้ายแรง เพราะตลาดมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนที่แรงกว่าปกติ

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเริ่มอ่านและเข้าใจ context ของตลาดได้ เมื่อนั้นกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณเอาตัวรอดก็คือ การมองหาจังหวะที่ตลาดกำลังจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น เรากำลังเห็นการ break out ออกจาก trading range ขนาดใหญ่ด้วย high volume หรือเปล่า? ถ้าเป็นเช่นนั้นแปลว่าเรากำลังจะได้เห็นการเพิ่มขึ้นของ volatility ซึ่งแปลว่าเรากำลังจะได้เห็นตลาดที่จะเป็น trend move

และถ้ากลยุทธ์ของคุณคือการ fading แปลว่าคุณต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงและเลือกจุดที่เหมาะสมเท่านั้น คุณต้องรู้ว่า ณ​ ขณะนี้คุณต้องใช้กลยุทธ์แบบไหน หรือไม่ก็ออกจากตลาด ไม่ต้องเทรด เพราะการไม่เทรดก็คือการเทรดอย่างหนึ่ง การอดทนจึงเป็นกุญแจสำคัญ

ในทางตรงกันข้าม คุณกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ตลาดมีความเคลื่อนไหวน้อย แล้วมี volume น้อยหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นแปลว่าเราน่าจะได้เห็นตลาดที่มี small range และนำไปสู่ failed breakout ถ้ากลยุทธ์ของคุณคือการเทรดตามเทรนด์ (เพราะคุณได้ยินบ่อยมาก ว่าเทรนด์คือเพื่อนที่ดีที่สุด) คุณต้องระมัดระวังและเลือกให้รอบคอบ ทางที่ดีคุณควรจะหยุดดีกว่า

อีกครั้ง คุณไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เสียแบบไม่น่าเสีย เพียงแค่คุณสามารถอ่านตลาดให้ออกและเห็นสัญญาณล่วงหน้าว่าอะไรคือสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น เพื่อที่จะได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์ตลาด ณ ช่วงนั้น และ sync กับวงจรแห่งโอกาส และเมื่อใดที่สัญญาณบอกคุณว่ามันถึงจุดที่ตรงกับกลยุทธ์ในการเทรดของคุณ เมื่อนั้นคุณจึงเทรดตามวิธีของคุณอย่าง aggressively

นี่คือกุญที่จะทำให้คุณอยู่รอดปลอดภัย แต่อะไรละคือกุญแจแห่งความสำเร็จ? แน่นอนจุดประสงค์ของบทความนี้คือการที่จะไปให้ถึงจุดที่ทำกำไรแบบไม่ธรรมดา ไม่ใช่แค่อยู่รอดเท่านั้น กุญแจที่จะไปถึงจุดนั้นได้ก็คือ การที่คุณต้องสามารถพัฒนาขีดความสามารถของคุณให้มีความสามารถมากพอที่จะสังเกตุเห็นได้รวดเร็วพอ และสามารถเทรดได้ในทุกสถานการณ์ของตลาด แทนที่คุณจะมีเพียงแค่กุลยุทธ์เดียวแล้วรอให้วงจรแห่งโอกาสเข้าข้างคุณ คุณต้องมีกลยุทธ์ที่สามารถเทรดไปตามวงจรของตลาดและวงจรแห่งโอกาสได้ ถ้าตลาดอยู่ในช่วงที่จะเป็นเทรนด์คุณก็ต้องใช้เทรนด์ setup เมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เอื้ออำนวยกับกลยุทธ์ fading คุณก็ต้องเทรด fade setup ถ้าตลาดเอื้ออำนวยกับการใช้ momentum setup คุณก็ต้องเทรดแบบนั้น คุณจะไม่มีวัน sync กับตลาดได้แบบเพอร์เฟ็คหรอก มันจะต้องมีบางครั้งที่คุณเห็นว่ามันเป็นเทรนด์แล้วคุณใช้ trend setup แต่แล้ว volatillity ก็หายไปแล้วคุณก็ต้องเสีย หรือบางครั้งคุณ fade ในขณะที่ตลาด break out และ volatilily ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย fade setup ก็จะล้มเหลว แต่ คุณมีแนวโน้นที่จะ sync กับตลาดได้เป็นส่วนใหญ่ ผลกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำจะมาก็ต่อเมื่อคุณมีกลยุทธ์ในการเข้าและออกจากตลาด ที่หลากหลายและปรับเปลี่ยนไปตามสภาพตลาดตามความเป็นจริง ณ ขณะนั้น ซึ่งอยู่กับความเชี่ยวชาญของคุณที่มีอยู่ซึ่งมันจะเพิ่มความแม่นยำขึ้นทุกวัน

อีกตัวอย่างเช่น ไม่ใช่เพียงแค่คุณสังเกตุเห็นว่า volatility กำลังเพิ่มขึ้นและคุณรู้ว่าคุณควรจะเข้าตลาดโดยใช้ trend following setup แต่คุณควรจะต้องเปลี่ยนเกียร์และเข้าตลาดแบบ aggreassively ทันที แทนที่จะคอยให้ตลาดลงมา filled limit order หรือมัวคิดแต่จะเลือกจุดและเวลาเข้าที่เหมาะสม คุณควรจะต้องเข้าตลาดแบบ market order เพราะไม่เช่นนั้นตลาดก็จะวิ่งไปโดยปราศจากคุณ และแทนที่จะออกจากตลาดในจุดที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านที่ใกล้ที่สุดเพื่อทำกำไรเล็กน้อยในแบบที่ควรทำเวลาที่เป็น slow market แต่คุณควรจะมองหาโอกาสในการออกจากตลาดที่จะทำให้ผลกำไรของคุณนั้นเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ได้ reward-to-risk ratio ที่มากขึ้น เพราะคุณรู้ว่าโอกาสมันมีสูงมากที่จะได้เห็น range นั้นขยายมากขึ้น ต่อเมื่อคุณทำได้แบบนี้ คุณถึงจะสามารถสร้างผลกำไรได้แบบเป็นรูปธรรมจากสภาพตลาดในทุก ๆ สถานการณ์ และนี่แหล่ะคือความลับในการสร้างผลกำไรแบบยั่งยืนและยิ่งใหญ่ นั่นคือความสามารถในการเทรดตาม contextual

อ่านต่อตอนที่ 1 >>

คำถาม ช่างซับซ้อน: เทรดได้เงินแล้วมาสอนเทรดทำไม?
คำตอบ ช่าง(Simple): อยากเก่งเรื่องอะไร ให้สอนเรื่องนั้น อยากเทรดให้เก่ง ก็ยิ่งต้องสอนเทรด the more you tech, the better you learn.

Our Recommended Platform