ในวันที่เขียนบทความนี้ E-Mini น่าจะเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดในโลกตลาดนึงไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ เทรดเดอร์ที่นิยมเทรดระยะสั้น E-Mini เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ดีที่สุดในโลกเท่าที่คุณจะหาได้
E-Mini Futures คืออะไร
E-Mini (หรือ ES) คือตลาดล่วงหน้า (Futures Contract) ที่ Track การเคลื่อนไหวของราคาตาม S&P 500 Index ถ้าพูดให้เห็นภาพชัดเจนก็ขอให้นึกถึง TFEX ของไทยนั่นเอง ซึ่ง E-Mini นั้นเทรดกันในตลาด Chicago Mercantile Exchange (CME) ผ่านช่องทางเดียวเท่านั้นคือ Electronic Platform ซึ่งชั่วโมงในการเทรดคือ 23.5 ขั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ โดยใช้รหัสตัวย่อว่า ES สำหรับมูลค่า 1 Point ของ ES นั้นจะมีมูลค่า US$50 ต่อ 1 สัญญา และหน่วยการเคลื่อนที่ ๆ เล็กที่สุด (ราคาขยับ 1 สเต็ป) เท่ากับ 0.25 points หรือเรียกว่า 1 Tick มูลค่าจะเท่ากับ US$12.50 เพราะฉะนั้น 4 Ticks จึงมีค่าเท่ากับ 1 Point
ซึ่งในความเป็นจริง E-Mini นั้นไม่ใช่มีเพียงแค่ US Stock Indices เท่านั้นแต่ยังมีทั้ง Commodities และ Forex Currencies ด้วย แต่เวลาที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เอ่ยถึงคำว่า E-Mini เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะหมายถึง Futures contract ที่ track ราคาจาก S&P 500 Index
ทำไมต้องเทรด E-Mini
E-Mini เครื่องมือทางการเงินที่เฟอร์เฟคโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ เดย์เทรดเดอร์ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่หลายประการทั้งสำหรับ เทรดเดอร์ระสั้นและเทรดเดอร์ระยะยาวด้วย
- คุณสามารถเทรดได้ทั้งขาขึ้น (Long) และขาลง (Short): ได้อย่างง่ายดาย ขอให้นึกถึงตลาด Forex เราเทรดได้แบบนั้นเลย
- เทรดได้ 24 ชั่วโมง: สิ่งที่ทำให้เทรดเดอร์ให้ความสนใจ E-Mini พอ ๆ กับ Forex เพราะสามารถเทรดได้ 24 ชั่วโมง และ Volatility (range การเคลื่อนไหวของราคา) ยังมีมากพอที่จะสามารถทำกำไรได้อย่างคุ้มค่าแม้จะเป็นในช่วงตลาด Overnight ของสหรัฐก็ตาม
- เทรดผ่าน Electronic: คำสั่งซื้อขายของคุณจะถูกส่งเข้าระบบทันทีและจะได้รับการยืนยันทันทีเช่นเดียวกันผ่านระบบ Electronic รวมถึงการเปลี่ยนแปลงคำสั่งซื้อขายก็เป็นเรื่องที่ง่ายและรวดเร็วทำผ่านบนชาร์ตได้เลยทันทีเช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องโทรไปหาโบรกเกอร์เพื่อส่งคำสั่งใด ๆ ทั้งสิ้น รวมถึงสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เราก็ยังสามารถรู้ได้แบบ Real-time ด้วย
- มีเทรดเดอร์ทุกระดับใน E-Mini: ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่ รายย่อย สถาบันการเงิน ล้วนเทรดผ่านช่องทางเดียวกันทั้งสิ้นเพราะเทรดผ่านออนไลน์เท่านั้น นั่นแปลว่าตัวกลางอย่าง floor trader หรือ ตัวกลางระหว่างตลาดกับผู้ซื้อขายจึงถูกตัดออกไป แปลว่าไม่มีใครสามารถเล่นแร่แปรธาตุได้อีกต่อไป
- Spreads ต่ำ: สำหรับท่านที่เทรด Forex คงเข้าใจดี หรือแม้แต่ผู้ที่เทรดหุ้นก็ตามว่าช่องว่างระหว่างราคา Bid/Ask นั้นจะมีอยู่เสมอในการซื้อขาย แต่สำหรับ ES ช่องว่างระหว่างราคาจะอยู่ที่ 1 tick หรือ 0.25 เท่านั้น จึงสามารถพูดได้ว่า E-Mini ไม่มี spread เลยก็ว่าได้ นั่นแปลว่าถ้าเข้าซื้อได้ในราคา 100 เมื่อราคาขยับขึ้นและขายออกได้ในราคา 100.25 เท่ากับมีกำไรทันที 1 tick
- ปริมาณ volume มหาศาล: สิ่งสำคัญที่สุดอย่างนึงในการเทรดคือปริมาณ volume ในตลาด ถ้าตลาดใดก็ตามมี volume สูงนั่นเท่ากับว่าในทุก ๆ ราคาที่ราคาขึ้นลงจะมี order ที่ถูกเทรดในปริมาณสูงทุก ๆ ระดับราคา พูดง่าย ๆ ว่าอยากจะซื้อหรือขายราคาไหนส่วนมากก็จะได้ราคานั้นเสมอ โดยมีภาวะของ slippage ต่ำมากหรือแทบจะไม่มีเลย รวมถึงยังสามารถรองรับปริมาณ order สูง ๆ ได้อย่างสบาย เช่น ถ้าต้องการเทรดจำนวน 500 สัญญา เราสามารถเข้าตลาดได้โดยไม่ทำให้ตลาดเคลื่อนไหวผิดปกติแต่อย่างใด ซึ่ง ณ วันที่เขียนบทความนี้ ES มีปริมาณ volume ต่อวันอยู่ที่ประมาณ 1,000,000 - 2,000,000 ต่อวัน
- มี Volatility สูงมากพอ แต่ไม่มากจนเกินไป: สำหรับผู้ที่ชอบเดย์เทรด range ต่อวันของ ES นั้นมีมากพอที่จะสามารถทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำแม้จะเทรดเพียงไม่กี่สัญญาก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น เทรดเพียง 2 สัญญา คุณสามารถทำกำไรจากตลาดได้ US$400 - US$600 โดยใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อมีข่าวสำคัญ ๆ เช่น FOMC announcement ความเหวี่ยงหรือ range ของราคายังไม่ได้เหวี่ยงอย่างบ้าคลั่งจนไม่สามารถรับมือได้ จะต่างจากตลาด commodities เช่น Crude Oil หรือ Gold Futures ที่เมื่อไหร่ถ้ามีข่าวสำคัญออก ตลาดจะเหวี่ยงจนไม่สามารถรับมือได้
- ค่าคอมมิชชั่นต่ำ: ถ้าจำได้ ES มูลค่าในการขึ้นลง 1 ticks เท่ากับ US$12.5 ต่อ 1 สัญญา ในขณะที่ค่าคอมมิชชั่นไปกลับ (ซื้อและขาย) ของ E-Mini ยังต่ำมาก โดยเฉลี่ยแล้วค่าคอมมิชชั่นบวกค่า transaction fee ต่าง ๆ ตั้งแต่ซื้อถึงขายแล้วจะอยู่ไม่เกิน US$5.00 ต่อ 1 สัญญาเท่านั้น แปลว่าแม้จะเทรดได้กำไรเพียงแค่ 1 tick หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วก็ยังกำไรอยู่ดี ยกเว้นว่าจะเทรดผ่านโบรกเกอร์ที่ไม่ใช่ US Broker ซึ่งทุกคนบนโลกใบนี้สามารถเปิดพอร์ตกับ US โบรกเกอร์ได้โดยตรงได้ง่าย ๆ ง่ายซะยิ่งกว่าเปิดพอร์ตเทรดหุ้นในไทยเสียอีก
- ความต้องการ Margin ต่ำ: สำหรับคนที่คุ้นเคยกับระบบ margin คงเข้าใจดี แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยพูดง่าย ๆ คือ ระบบเงินประกัน การเปิดพอร์ตแบบมีระบบเงินประกันก็คือ การซื้อขายหุ้นจำเป็นต้องมีเงินอยู่ในบัญชีมากพอที่จะรองรับการเสีย ซึ่งสำหรับการเทรด ES นั้นเงินประดับหรือ margin นั้นต่ำมาก ยกตัวอย่างเช่น Ninjatrader broker นั้นเงินเปิดพอร์ตขั้นต่ำอยู่ที่ US$1,000 และเพียงแค่คุณมีเงินในพอร์ต US$500 ก็สามารถซื้อได้แล้ว 1 สัญญา (ถ้าเป็นเดย์เทรด)
- พิเศษสำหรับ Day Trader: ปกติการซื้อขาย ES 1 สัญญาคุณต้องมีเงินอยู่ในพอร์ตขั้นต่ำคือ US$4,950 ในกรณีที่เทรดแบบข้ามวัน แต่ถ้าเป็นเดย์เทรด (ซื้อขายจบใน 1 วัน) จะมี Leverage พิเศษคือสามารถซื้อขายได้ 1 สัญญาโดยมีเงินอยู่ในพอร์ตเพียง US$500 เท่านั้น และค่าตอบแทนก็ยังเท่าเดินคือ 1 ticks = US$12.50 (ยกตัวอย่างจาก Ninjatrader Broker)
ในตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมเทรดมาแล้วทั้ง หุ้น, Options, Futures, Forex ตั้งแต่พบกับ E-Mini โดยเฉพาะ E-Mini S&P 500 Futures ผมก็ไม่เคยกลับไปเทรดตลาดเหล่านั้นอีกเลย
E-Mini กับ ตลาดหุ้น, ตลาด Forex, Options
จากที่ด้านบนได้กล่าวถึงข้อดีหลัก ๆ ของ E-Mini ไปแล้ว ตอนนี้เราจะมาเปรียบเทียบกับตลาดอื่นดูบ้างตามนี้
- Forex: ตลาด Forex นั้นได้รับความนิยมอย่างสูงจากเทรดเดอร์ทั่วโลกเช่นเดียวกัน แต่ข้อเสียเปรียบนั้นมาจากจุดเริ่มต้นจุดเดียวคือ การที่ Forex นั้นไม่มีตลาดกลาง สิ่งที่ตามมาคือ
- Volume ที่ได้หรือที่คุณเห็นไม่ใช่ volume ของการเทรดทั่วโลก เนื่องจากไม่มีศูนย์กลางในการออกราคา และบริหารจัดการคำสั่งซื้อขายเป็นหนึ่งเดียว ทำให้ volume ที่เห็นจึงแยกกันโบรกเกอร์ต่อโบรกเกอร์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่แต่ละโบรกเกอร์จะเอาข้อมูลมารวมกันเพราะจำนวนออเดอร์และจำนวนลูกค้าเป็นความลับทางธุรกิจ ทำให้เกิดปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเทรดเดอร์ที่ใช้ volume เป็นปัจจัยหลักในการเทรด คุณจะไม่มีวันได้เห็น big money เข้าตลาดได้จริง ๆ เพราะ volume ที่เห็นเป็น volume เฉพาะที่โบรกเกอร์ของคุณเท่านั้น
- เมื่อไม่มีตลาดกลางในการออกราคาและบริหารออเดอร์ เราจึงได้เห็นอะไรแปลก ๆ อยู่บ้างในตลาด Forex โดยเฉพาะกับโบรกเกอร์ที่ไม่ใช่ Premium Broker เช่น spread กว้างไม่เท่ากัน, ราคา real-time แต่ละโบรกเกอร์ไม่เท่ากัน เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงเกิดช่องว่างของราคา ที่โบรกเกอร์สามารถนำไปต่อยอดทำอะไรได้หลาย ๆ อย่าง เช่น ออกโปรโมชั่นที่ไม่สามารถทำได้ในตลาดอื่น ๆ รวมถึงอาจเลวร้ายถึงขนาดโบรกเกอร์สามารถเทรดฝั่งตรงข้ามลูกค้าได้ด้วย เพราะสามารถใช้ความได้เปรียบเรื่องช่องว่างของราคาได้
- หุ้น: มีข้อเสียเปรียบหลัก ๆ 2 ประการ แม้ว่าจะมีหุ้นให้คุณเลือกเทรดมากมายแต่นั่นละปัญหาข้อแรกก็คือ คุณต้องหาหุ้นตัวใหม่ ๆ ทุกวันเพราะหุ้นที่จะมี volatility มากพอให้เทรดได้ทุกวันนั้นมีน้อยเหลือเกินและหุ้นแต่ละบริษัทยังมีปัญใจกระทบไม่เหมือนกันอีก ประการต่อมาคือหุ้นนั้นมีความอ่อนไหวกับข่าว โดยเฉพาะข่าวที่เกี่ยวข้องกับผลประโยขน์ของบริษัทโดยตรง และเมื่อเกิดข่าวสำคัญก็จะเกิดความเหวี่ยงสูงมากจนไม่สามารถรับมือได้
- Options: การเทรดออปชั่นนั้นเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากจนเกินไป เพราะออปชั้นถูกออกแบบมาให้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ดังที่จะเห็นได้ทั่วไปว่าการเทรดออปชั่นต้องมีกลยุทธเช่น bull call spreads, bull put spreads, butterflies, iron butterflies, straddles, strangles, collars, calendar spreads อีกอื่น ๆ อีกมากมาย แค่พิมพ์ชื่อก็เวียนหัวแล้ว
- Commodities: เช่น Crude Oil, Gold Futures, ข้าวโพด หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเทรดตัวไหนก็ตามสิ่งที่จะพบคือ ตลาดเหวี่ยงแรงเกินไปหรือไม่ตลาดก็ไม่วิ่งเลย และตลาดอย่าง Crude Oil กับ Gold Futures ยังมีความพิเศษคือ volume น้อยแต่ volatility สูงนั่นแปลว่าคุณจะต้องเสี่ยงสูงที่จะเจอภาวะ slippage
- Bond: ตลาดพันธบัตรนั้นเป็นตลาดที่เก่าแก่ประเภทนึง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแหล่งลงทุนของสถาบันการเงินและนักลงทุนเก่าแก่ นักลงทุนใหม่ ๆ ไม่ค่อยจะสนใจเทรดพันธบัตรเท่าไหร่นัก และการเทรดตลาดพันธบัตรยังชวนง่วงมากด้วย เนื่องจากมันไม่ค่อยวิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเดย์เทรด
E-Mini ที่ดีที่สุดในการเทรด
ผลจากความสำเร็จของ E-Mini S&P 500 ตลาด CME ก็ได้ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินออกมาอีกมากมายให้นักลงทุนได้เทรดกัน ครอบคลุมทั้ง US Indics, metals, commodities และ forex ตามรายชื่อคร่าว ๆ ดังกล่าว
- NASDAQ 100 (symbol NQ, 100 largest NASDAQ companies)
- NASDAQ Composite (symbol QN, all 3,000+ NASDAQ companies)
- NASDAQ Biotech (symbol BQ)
- S&P Midcap 400 (symbol EMD)
- S&P Smallcap 600 (symbol SMC)
- Dow (symbol YM, traded on CBOT exchange)
- Russell 2000 (symbol TF, traded on NYBOT/ICE exchange, small cap index, formerly ER2 on CME)
- Russell 1000 (symbol RF2, traded on NYBOT/ICE exchange, large cap index, formerly RS on CME)
- Metals and commodities such as Copper, Gold, Silver, Corn, Wheat, Soybeans, Natural Gas, Crude Oil, Heating Oil and Unleaded Gasoline
- Forex rates versus the US Dollar such as Euro, British Pound, Swiss Franc, Japanese Yen, Australian Dollar, Canadian Dollar and Chinese Renminbi
- Options on the S&P 500 Emini and NASDAQ 100 Emini
อย่างไรก็ตาม E-Mini S&P 500 ยังเป็นที่ 1 อยู่ดีในแง่ Volume โดยเฉพาะอย่างยิ่งเดย์เทรด (ถ้าเราเทียบกัน Intrument ต่อ Intrument)
การเริ่มต้นเทรด E-Mini
- ก่อนอื่นคุณก็ต้องเปิดพอร์ตเสียก่อน ซึ่งมีโบรกเกอร์ออนไลน์ชั้นนำหลาย ๆ ที่ เช่น Interactive Brokers, TradeStation, Ninjatrader, AMP Futrues ฯลฯ ซึ่งการเปิดพอร์ตนั้นเปิดระบบออนไลน์ทุกขั้นตอน รวมถึงการส่งเอกสารด้วย สำหรับคนไทยเอกสารที่ต้องใช้หลัก ๆ มี 2 สิ่งคือ
- Passport
- หนังสือรับรองที่อยู่ ซึ่งปกติถ้าเป็นประเทศอื่นที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักก็จะสามารถใช้ บิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัทพ์ได้ แต่เนื่องจากประเทศไทยคงหาเอกสารภาษาอังกฤษแบบนั้นไม่ได้ ผมจึงแนะนำให้ขอหนังสือรับรองบัญชีเงินฝากกับแบงค์แล้วให้แบงค์ใส่ที่อยู่ลงไปในหนังสือด้วย ระบุที่อยู่ให้ตรงกับที่กรอกในใบสมัครออนไลน์
- หลังจากเปิดพอร์ตแล้วต่อไปคุณก็ต้องมี Platform ในการเทรดหรือเรียกง่าย ๆ ว่าโปรแกรมที่ใช้เทรด ซึ่งสำหรับวงการเทรดในสหรัฐนั้น Platform ในการเทรดเป็นตลาดใหญ่อย่างมาก ให้คิดถึง iOS กับ Android ก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วมีเป็นร้อยเป็นพัน และแต่ละ platform ก็ยังมีโปรแกรมลูกขายย่อย ๆ ลงไปอีกเหมือน App Store ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนเองใช้ Ninjatrader
- ประการต่อไปคือต้องมี Data Feed โดยปกติแล้วมี Platform อย่างเดียวเมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมาเราก็จะไม่เห็นชาร์ตใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะยังไม่มี Data วิ่งเข้ามาทำให้เกิดเป็นชาร์ตได้ โดย Data Feed นั้น ท่านสามารถสมัครรับ data จากโบรกเกอร์ของท่านได้และเสียค่า Data เพียงเล็กน้อยต่อเดือน หรือไม่อีกทางเลือกหนึ่งคือการสมัครรับ Data จากบริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจในการส่ง Data ให้โดยเฉพาะ เช่น Kinetick, IQ Feed เป็นต้น
- ประการต่อมาแน่นอนว่า ท่านก็ต้องมีกลยุทธในการเทรดซึ่งจากที่เคยเขียนบทความไว้ก่อนหน้านี้เป็นซี่รี่ย์เรื่อง A Unique Blueprint สำหรับเทรดเดอร์อิสระธรรมดาที่ต้องการทำกำไรแบบไม่ธรรมดา แล้วว่าถ้าท่านมีกลยุทธในการเทรดที่ดีท่านก็ไม่ต้องกลัวอะไร ท่านจะสามารถเทรดได้ทุกตลาดในโลกนี้
เรามาทดลองคำนวณถึงกำไรกันคร่าว ๆ ดู สมมุติว่าคุณมีเงินในพอร์ต US$2,000 ถ้าต้องการเทรดแบบเดย์เทรดซึ่งอย่างน้อย margin ที่จะต้องใช้ต่อการซื้อ 1 สัญญาคือ US$500 นั่นแปลว่าเงินในพอร์ตคุณจะสามารถซื้อได้ 4 สัญญา แต่เอาเป็นว่าคุณเทรดแค่ 2 สัญญาก็พอ
ซึ่ง Range เฉลี่ยของ E-Mini S&P 500 Futures ณ เวลาที่เขียนบทความนี้อยู่ที่วันละประมาณ 16.25 point ต่อวัน (ซึ่งแต่ละช่วงก็ต่างกันไป) สมมุติว่าคุณใช้กลยุทธในการเทรดที่เรียนจาก Daytradeboss เข้าเทรด โดยใช้ Stop loss 2 points เพื่อมองหากำไรอย่างน้อยที่สุด 2 เท่านั่นคือ 4 points
1 point = US$50
ถ้าใช้ 2 points stop ก็เท่ากับความเสี่ยงต่อเทรด 2 สัญญา = US$200
มองหา target เพื่อทำกำไรที่ 4 points เทรด 2 สัญญากำไร = US$400
ซึ่งตามที่เขียนไว้ข้างบนแล้วว่า range เฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ประมาณ 16.25 points ท่านต้องการแค่เพียง 4 points เท่านั้น ก็สามารถทำกำไรจากการเทรดได้แล้วที่ US$400 และ 4 points ดังที่กล่าวมา ส่วนใหญ่จะใช้เวลาอย่างมากไม่เกิน 60 นาทีเท่านั้น
ชั่วโมงในการเทรด E-Mini
E-Mini นั้นเทรดได้เกือบจะ 24/5 โดยตลาดจะเริ่มเปิดตามเวลาสหรัฐ Central Time Zone ในวันอาทิตย์เวลา 23:00 และปิดในวันศุกร์เวลา 15:15 โดยในแต่ละวันจะมี 2 ช่วงหลัก ๆ คือ
- Overnight Session หรือ Globex Session ตั้งแต่เวลา 15:30 น. - 8:30 น. (volume 20% โดยประมาณ)
- RTH (Regular Trading Hours) ตั้งแต่เวลา 8:30 - 15:15 (volume 80% โดยประมาณ
โดยจะมีช่วงที่ตลาดปิดทุก ๆ วันเพื่อทำ Settlement คือ 15:15 น. - 15:30 น. เป็นเวลา 15 นาที
สัญญา E-Mini หมดเมื่อไหร่
หลายคนจะงงว่า "สัญญา" คืออะไร เนื่องจาก E-Mini นั้นเป็น Futures (ตลาดล่วงหน้า) ประเภทถึง การซื้อขายจึงต้องมีสัญญากำกับไว้ โดยให้เข้าใจง่าย ๆ ว่า สัญญาของ E-Mini จะมีด้วยกันอยู่แค่ 4 ช่วงต่อปี ซึ่งสัญญาจะหมดในวันศุกร์ ของสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน มีนาคม, มิถุนายน, กันยายน, ธันวาคม
แต่จะมีวันที่คุณควรจะเปลี่ยนสัญญาในการเทรดหรือที่เรียกว่า Rollover Day ส่วนใหญ่จะเป็นวันพฤหัส ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนดังกล่าวเช่นเดียวกัน
สรุปง่าย ๆ คือ
- วันพฤหัสที่ 8 ธันวาคม 2016: เราจะเปลี่ยนไปเทรดสัญญาของเดือน มีนาคม 2017
- วันพฤหัสที่ 9 มีนาคม 2017: เราจะเปลี่ยนไปเทรดสัญญาของเดือน มิถุนายน 2017
- วันพฤหัสที่ 8 มิถุนายน 2017: เราจะเปลี่ยนไปเทรดสัญญาของเดือน กันยายน 2017
- วันพฤหัสที่ 7 กันยายน 2017: เราจะเปลี่ยนไปเทรดสัญญาของเดือน ธันวาคม 2017
- วันพฤหัสที่ 7 ธันวาคม 2017: เราจะเปลี่ยนไปเทรดสัญญาของเดือน มีนาคม 2018
หมายเหตุ: ถ้าสังเกตุด้านบนที่เขียนไว้ จะพบว่า forex ก็มี futures ในตลาด CME เช่นเดียวกัน สำหรับคนที่ชอบเทรด Forex แต่ต้องการข้อได้เปรียบจากตลาด Futures หลาย ๆ อย่างข้างต้น ปกติ Forex Futures จะมีการ Rollover กันในวันจันทร์สัปดาห์เดียวกันกับที่ E-Mini stock index future จะ Rollover